|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ข่าวดีชั้นที่ 1 สำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตมีกำหนดเวลา 10 ปีขึ้นไปเอาไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1 แสนบาท (ตามกฎหมายเดิม) |
|
ข่าวดีชั้นที่ 2 สำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ โดยสามารถเอาไปใช้ลดหย่อนภาษีได้เพิ่มจาก 1 แสนบาทเป็น 3 แสนบาท ( ตามกฎหมายที่จะออกมาใหม่ ) |
|
ส่วนที่เพิ่มขึ้น 2 แสนบาทนั้นจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อรวมกัน ดังนี้ : |
|
|
1. |
ต้องเป็นการทำประกันชีวิตแบบบำนาญเท่านั้น |
2. |
ต้องไม่เกิน 15 % ของเงินได้พึงประเมิน |
3. |
ต้องไม่เกิน 5 แสนบาทเมื่อรวมกับเงินได้ที่จ่ายเข้ากองทุนประเภทเดียวกันอื่น ๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และเงินที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( RMF) |
|
|
|
|
|
ประกันชีวิตแบบบำนาญ ( ANNUITY ) จะต่างจากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่เราคุ้นเคยกัน เพราะประกันชีวิตแบบบำนาญจะเป็นการประกันว่า เราจะมีรายได้อย่างต่อเนื่องหลังจากที่เกษียณอายุแล้ว ซึ่งสรุปได้ว่า : |
|
|
1. |
ในช่วงแรกเราจะเป็นคนจ่ายเบี้ยประกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งเรียกว่า ช่วงก่อนรับเงินบำนาญ โดยในช่วงนี้เราจะไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรไปจนถึงวันที่เกษียณอายุจะเรียกว่า ช่วงรับเงินบำนาญ บริษัทประกันจะจ่ายเป็นเงินบำนาญให้กับเราเป็นงวด ๆ ไปจนถึงอายุไม่ต่ำกว่า 85 ปี |
2. |
แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเห็นว่าเป็น ประกันชีวิตแบบบำนาญ แล้วจะสามารถนำมาลดหย่อนเพิ่มเติมได้เหมือนกันหมด เพราะต้องให้ทางบริษัทประกันระบุในใบเสร็จรับเงินเบี้ยประกันไว้อย่างชัดเจนว่าเป็น เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามกฎกระทรวงการคลัง |
|
|
|
|
|
กรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่สามารถนำไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้ : |
|
|
|
|
|
1. |
มีระยะเวลาเอาประกันภัย 10 ปีขึ้นไป นับตั้งแต่เริ่มทำประกันชีวิตจนถึงอายุสุดท้ายที่รับบำนาญ |
2. |
เริ่มจ่ายเงินบำนาญตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไป จนถึงอายุไม่ต่ำกว่า 85 ปี |
3. |
ไม่มีการจ่ายผลประโยชน์อื่นใดก่อนรับเงินบำนาญ ยกเว้นผลประโยชน์กรณีการเสียชีวิต |
4. |
กรณีเสียชีวิตในช่วงก่อนรับเงินบำนาญ ผลประโยชน์ที่ได้รับอาจจะมากกว่าเบี้ยประกันภัยที่ชำระไปเล็กน้อย แต่ กรณีเสียชีวิตในช่วงรับเงินบำนาญผลประโยชน์ที่ได้รับ จะไม่เกินเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยชำระมาทั้งหมดหักด้วยผลประโยชน์เงินบำนาญที่ได้รับไปแล้วทั้งหมด |
5. |
ไม่มีการจ่ายผลประโยชน์ใด ๆ ในวันครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัยหรือวันครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยปี สุดท้ายก่อนรับเงินบำนาญ |
6. |
การจ่ายเงินบำนาญต้องจ่ายเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ เช่น รายปีหรือรายเดือน |
7. |
ต้องมีวงเล็บไว้ด้วยว่าเป็นกรมธรรม์ บำนาญแบบลดหย่อนได้ |
|
|
|
|
|
เงื่อนไขการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของประกันชีวิตแบบบำนาญ ต้องมาคำนวณกันอีกว่าระหว่างกรมธรรม์ประกันชีวิตเดิมและการลงทุนในกองทุน RMF กับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ จะจัดสรรปันส่วนกันอย่างไรนั้นดูตัวอย่าง ดังนี้ : |
|
|
|
|
|
ก. |
กรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีเงินได้พึงประเมิน 1.0 ล้านบาท สามารถใช้สิทธิได้ดังนี้ |
|
|
|
|
|
|
กรณีที่ 1 |
|
|
|
ผู้เอาประกันภัยมีกรมธรรม์ประกันชีวิต (ไม่รวมแบบบำนาญที่หักภาษีได้) ที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิมได้ 1.0 แสนบาทแล้ว กรณีนี้ผู้เอาประกันภัยจะสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญและใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์ใหม่ได้อีก 1.5 แสนบาท ทั้งนี้สามารถซื้อกองทุนอื่นได้อีกไม่เกิน 3.5 แสนบาท |
|
|
|
|
|
|
กรณีที่ 2 |
|
ผู้เอาประกันภัยมีกรมธรรม์ประกันชีวิต ( ไม่รวมแบบบำนาญที่หักภาษีได้ ) ที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิมได้ 5.0 หมื่นบาทแล้ว กรณีนี้ผู้เอาประกันภัยจะสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญได้อีก 2.0 แสนบาท โดยใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิมได้อีก 5.0 หมื่นบาท และใช้สิทธิตามเกณฑ์ใหม่ได้อีกไม่เกิน 1.5 แสนบาท ทั้งนี้สามารถซื้อกองทุนอื่นได้อีกไม่เกิน 3.5 แสนบาท |
|
|
|
กรณีที่ 3 |
|
ผู้เอาประกันภัยยังไม่เคยซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตใด ๆ ที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิม กรณีนี้ผู้เอาประกันภัยจะสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญได้อีก 2.5 แสนบาท โดยใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิมได้ 1.0 แสนบาท และใช้สิทธิตามเกณฑ์ใหม่ได้อีกไม่เกิน 1.5 แสนบาท ทั้งนี้สามารถซื้อกองทุนอื่นได้อีกไม่เกิน 3.5 แสนบาท |
|
|
ข. |
กรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีเงินได้พึงประเมิน 1.5 ล้านบาท สามารถใช้สิทธิได้ดังนี้ |
|
|
|
กรณีที่ 1 |
|
ผู้เอาประกันภัยมีกรมธรรม์ประกันชีวิต ( ไม่รวมแบบบำนาญที่หักภาษีได้ ) ที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิมได้ 1.0 แสนบาทแล้ว ผู้เอาประกันภัยจะสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญและใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์ใหม่ได้อีกไม่เกิน 2.0 แสนบาท ทั้งนี้สามารถซื้อกองทุนอื่นได้อีกไม่เกิน 3.0 แสนบาท |
|
|
|
กรณีที่ 2 |
|
ผู้เอาประกันภัยมีกรมธรรม์ประกันชีวิต ( ไม่รวมแบบบำนาญที่หักภาษีได้ ) ที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิมได้ 5.0 หมื่นบาทแล้ว ผู้เอาประกันภัยจะสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญได้อีก 2.5 แสนบาท โดยใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิมได้อีก 5.0 หมื่นบาท และใช้สิทธิตามเกณฑ์ใหม่ได้อีกไม่เกิน 2.0 แสนบาท ทั้งนี้สามารถซื้อกองทุนอื่นได้อีกไม่เกิน 3.0 แสนบาท |
|
|
|
กรณีที่ 3 |
|
ผู้เอาประกันภัยยังไม่เคยซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตใด ๆ ที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์เดิม กรณีนี้ผู้เอาประกันภัยจะสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญได้อีก 3.0 แสนบาท โดยใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีตามเกณฑ์ที่เดิมได้ 1.0 แสนบาท และใช้สิทธิตามเกณฑ์ใหม่ได้อีกไม่เกิน 2.0 แสนบาท ทั้งนี้สามารถซื้อกองทุนอื่นได้อีกไม่เกิน 3.0 แสนบาท |
|
|
|
ทั้งนี้หากผู้เอาประกันภัยได้ซื้อกองทุนอื่นไว้แล้ว ซึ่งจำนวนเงินไม่เป็นไปตามสัดส่วนที่แสดงไว้ในตัวอย่างข้างต้น ผู้เอาประกันภัยจะต้องปรับเบี้ยประกันภัยให้จำนวนเบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกับกองทุนที่ถืออยู่แล้วต้องไม่เกิน 5.0 แสนบาท |
|
|
ข้อควรทราบ :
กฎกระทรวงดังกล่าวอยู่ระหว่างการดำเนินการ โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้สำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี 2553 ซึ่งต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามแบบ ภ.ง.ด. 90 หรือ แบบ ภ.ง.ด. 91 ภายใน 30 มีนาคม 2554 |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|